การหมุนเวียนเปลี่ยนงาน (Job Rotation) พื้นฐานสำคัญของการเติบโต

การหมุนเวียนเปลี่ยนงาน (Job Rotation) พื้นฐานสำคัญของการเติบโต



องค์กรขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มักจะมีการกำหนดนโยบายในเรื่องของการโอนย้ายงาน การหมุนเวียนงานกันภายใน ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกกันว่า Job Rotation ซึ่งก็คือ การที่ให้พนักงานคนหนึ่งที่ทำงานหนึ่งมานานพอสมควร ได้มีโอกาสในการหมุนเวียนเปลี่ยนงานในตำแหน่งอื่นๆ บ้าง ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะทำให้พนักงานคนนั้นมีทักษะและความรู้ในแง่กว้างมากขึ้น

บริษัทที่มีการกำหนดนโยบายเรื่องของการเติบโตตามสายอาชีพ หรือ Career path นั้น เรื่องของการหมุนเวียนงาน และการโอนย้ายงานนั้นเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เลยในการพัฒนาสายอาชีพของพนักงาน แนวคิดก็คือ การที่พนักงานคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นไปดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น รวมทั้งอาจจะต้องรับผิดชอบกว้างขึ้นด้วยนั้น พนักงานคนนั้นจะทำได้ดี ก็ต่อเมื่อ เขาได้เคยผ่านงานนั้น และมีประสบการณ์ในการทำงานนั้นๆ มาก่อน เคยรู้ปัญหา รู้ข้อจำกัดของการทำงานนั้นๆ เพื่อที่จะทำให้เขาสามารถบริหารจัดการรายละเอียดของงานได้เป็นอย่างดี

ดังนั้นเรื่องของการหมุนเวียนเปลี่ยนงานจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ดี และทำให้พนักงานสามารถเติบโตในองค์กรได้ แต่ในทางปฏิบัตินั้น เรื่องของการหมุนเวียนงานกันเป็นเรื่องที่บางองค์กรทำได้ยากมาก สาเหตุก็เนื่องจากพนักงานไม่ยอม ลองมาดูสาเหตุของการทำนโยบายหมุนเวียนงานไม่สำเร็จว่ามีอะไรบ้าง

• พนักงานเกิดความกลัว พนักงานส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงเรื่องการหมุนเวียนงานแล้ว ก็จะเกิดความกลัว กลัวว่าจะทำไม่ได้ กลัวว่าเมื่อย้ายไปแล้ว จะทำให้ผลงานแย่ลง แล้วจะไม่ได้รับผลตอบแทนเหมือนเดิมแบบที่เคยได้มา กลัวว่าหัวหน้าคนใหม่จะไม่ดีเหมือนคนเดิม กลัวไปต่างๆ นานา ซึ่งในกรณีนี้ แสดงว่าบริษัทไม่มีการสื่อสารและทำความเข้าใจแก่พนักงานว่านโยบายการหมุนเวียนงานนั้น มีข้อดีอย่างไร และจะทำให้พนักงานเติบโตขึ้นได้อย่างไร

• พนักงานคิดว่าการหมุนเวียนงานนั้นเป็นการลงโทษ ในอดีตเรื่องของการโอนย้ายและหมุนเวียนงานมักจะเกิดขึ้นสำหรับพนักงานที่มีผลงานไม่ดี ก็เลยถูกสั่งย้ายไปโน่นไปนี่ ถือเป็นการลงโทษที่ผลงานแย่ พอเอานโยบายนี้มาใช้ ก็เลยทำให้พนักงานรู้สึกไม่ชอบ และรู้สึกไม่ดี เพราะถ้าเขาถูกหมุนงาน หรือโอนย้ายงานเมื่อไหร่ ก็เหมือนกับเป็นการประกาศว่า เขากำลังถูกลงโทษ ก็เลยทำให้ไม่มีพนักงานคนไหนอยากหมุนเวียนงาน

• กลัวถูกกลั่นแกล้ง ประเด็นนี้มักจะเกิดขึ้นกับบริษัทที่ใช้การโอนย้ายพนักงานเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง หรือบีบให้พนักงานลาออก ก็คือ ทำงานไม่เข้าตาหัวหน้า ก็เลยถูกย้ายไปทำงานที่หน่วยงานที่ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก เสมือนถึงเป็นการบีบบังคับให้พนักงานทนไม่ได้ แล้วลาออกไป ดังนั้นการที่บริษัทใช้นโยบายหมุนเวียนงาน ก็ต้องแจ้งให้ชัดเจนว่า ไม่ใช่การกลั่นแกล้งพนักงาน

• ผู้บริหารเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ตำแหน่ง ระดับบริหารหรือระดับจัดการ ก็มีโอกาสที่จะต้องถูกหมุนเวียนงาน เพื่อที่จะได้เรียนรู้งานมากขึ้น เพื่อให้พร้อมที่จะเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นไปอีก แต่ผู้บริหารบางคน กลับยึดติดกับสิ่งที่ทำ ไม่อยากย้ายไปไหน ไม่อยากที่จะต้องรับผิดชอบอะไรมากขึ้น ก็เลยประกาศกร้าวว่า ยังไงก็ไม่ย้ายไปไหน ก็เลยเป็นปัญหาระหว่างผู้บริหารกับบริษัท ปัญหาเหล่านี้ จะส่งผลให้พนักงานรู้สึกแบบเดียวกัน และทำให้พนักงานไม่ค่อยอยากที่จะย้ายงานด้วย บางครั้งอาจจะใช้เหตุผลว่า ทีผู้บริหารยังไม่ย้ายเลย แล้วทำไมตนเองถึงต้องยอมย้ายด้วย

องค์กรที่จะกำหนดนโยบายการหมุนเวียนงาน หรือ การโอนย้ายงานให้สำเร็จนั้น จะต้องทำอย่างเป็นระบบครับ ไม่ใช่คิดจะย้าย หรือจะหมุนก็หมุนเลย โดยไม่รู้ว่าทำไปทำไม แนวทางที่ดีในการทำระบบนี้ให้สำเร็จมีดังนี้ครับ

• กำหนดวัตถุประสงค์ของการโอนย้าย หมุนเวียนงานให้ชัดเจน ทำให้พนักงานทราบว่า ที่ต้องหมุนงานนั้น ทำไปทำไม หมุนแล้วจะได้อะไร มีอะไรที่เป็นข้อดีบ้าง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ เรื่องของการหมุนเวียนงานนั้นมักจะเป็นกระบวนการหนึ่งในการพัฒนาคน และสร้างคนให้มีทักษะที่กว้างขึ้น เพื่อพร้อมที่จะเติบโตไปในระดับที่สูงขึ้นนั่นเอง ถ้ากำหนดวัตถุประสงค์ชัดแล้ว พนักงานก็จะเข้าใจได้ว่า เมื่อไหร่ที่ถูกหมุนงาน นั่นแปลว่า เขามีโอกาสเติบโตมากขึ้น ไม่ใช่ถูกกลั่นแกล้ง

• กำหนดเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตในสายอาชีพ ให้ใช้เรื่องของการหมุนเวียนงานเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะวางแผนการเติบโตในสายอาชีพของพนักงาน เช่น ใส่เป็นมาตรฐานเลยว่า เส้นทางการเติบโตไปสู่ตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการของบริษัท จะต้องผ่านการโอนย้าย และหมุนงานไปในตำแหน่งอะไรบ้าง อย่างน้อยกี่ตำแหน่ง และอย่างน้อยตำแหน่งละกี่ปี เพื่อเรียนรู้งานด้านนั้นๆ ก่อนที่จะเป็นผู้บริหาร หรือตำแหน่งเฉพาะทางก็สามารถทำได้ เช่น ตำแหน่ง วิศวกรเชี่ยวชาญ (Specialist) จะต้องผ่านการหมุนเวียนงานด้านไหนบ้าง อาทิ ไปดูแลงานด้านไฟฟ้า หมุนไปดูแลเรื่องเครื่องกล ฯลฯ เพื่อสร้างทักษะ และมุมมองในการบริหารจัดการให้มากขึ้น ก่อนที่จะกลายเป็นวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถมองระบบได้ทั้งหมด

ถ้าเราสามารถกำหนดนโยบายการหมุนเวียนงาน โดยผูกเข้ากับระบบการพัฒนาคน และระบบการเติบโตตามสายอาชีพของพนักงานได้ พนักงานก็จะเข้าใจ และไม่เกิดแรงต้าน องค์กรเองก็จะมีพนักงานที่มีความรอบรู้มากขึ้น และสามารถที่จะทำงานในด้านต่างๆ ได้มากขึ้น และที่สำคัญก็คือ เข้าใจว่างานด้านต่างๆ นั้นมีข้อจำกัด และมีความยากในงานของมันเอง ก็จะช่วยลดความขัดแย้งในการทำงานระหว่างฝ่ายงานต่างๆ ลงได้อย่างดี



บทความโดย : คุณประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
ประกาศบทความโดย : www.prosofthrmi.com
 21912
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

Employer Value Proposition (EVP) คือ ข้อเสนอที่องค์กรหรือบริษัทมอบให้กับพนักงาน เพื่อแลกกับทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์ที่พนักงานนำมาใช้ในองค์กร เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงคุณค่าและผลประโยชน์ที่พนักงานจะได้รับจากการทำงานในองค์กรนั้นๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงค่าตอบแทนทางการเงิน แต่ยังรวมถึงประเด็นอื่น ๆ เช่น วัฒนธรรมองค์กร การพัฒนาอาชีพ และความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว
การทำงานเป็นทีม คือ การทำงานมากกว่า 1 คนขึ้นไป จำนวนคนในทีมขึ้นอยู่กับหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีในการทำงานแต่ละโปรเจกต์ ภายใต้เงื่อนไขกรอบการทำงานเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน ผ่านการวางแผนการทำงานร่วมกันเพื่อไปยังปลายทางที่ตั้งไว้ โดยวิธีการทำงานอาจจะแตกต่างกันไปได้ตามความถนัดของแต่ละคน แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ได้จะต้องออกมาตรงกัน ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการทำงานเป็นทีมที่ดี
เคยสงสัยกันไหม... ว่าทำไมบางบริษัทถึงมีสลิปเงินเดือน บางบริษัทไม่มีสลิปเงินเดือน แล้วถ้าหากบริษัทไม่ออกสลิปเงินเดือนให้กับพนักงาน จะถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบค่ะ ก่อนอื่นมารู้ความหมายของสลิปเงินเดือนก่อนนะคะ
การจัดการพนักงานที่ทำงานแบบกะเป็นงานที่ท้าทายสำหรับฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) เป็นอย่างมาก ด้วยลักษณะงานของพนักงานแบบกะ พนักงานบางราย ทำงานเวลาไม่ตรงกัน เลิกงานไม่ตรงกัน จะเห็นได้ว่า แค่ HR ต้องจัดการกับเงินเดือนพนักงานที่ทำงานกะปกติ ก็แทบปวดหัวกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว ไหนจะต้องอาศัยความแม่นยำและละเอียดอ่อนในการคำนวณเงินเดือน การคิดวันขาด ลา มา สายอีก ยิ่งถ้าเป็นองค์กรใหญ่ๆ นั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกันเลยทีเดียว ดังนั้น การที่มีตัวช่วยอย่างโปรแกรมเงินเดือน HRMI เข้ามาช่วย HR จัดการปัญหาต่างๆ ของพนักงานที่ทำงานแบบกะ จึงเป็นตัวช่วยสำคัญในการบริหารจัดการเงินเดือนของพนักงาน  เพื่อลดความเสี่ยงคำนวณเงินเดือนผิดพลาด ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัทได้
หลายๆ องค์กรตั้งตัวชี้วัดความสำเร็จในเรื่องของการบริหารทรัพยากรบุคคลไว้ที่อัตราการลาออกของพนักงานในองค์กร โดยมีการกำหนดอัตรามาตรฐานไว้ที่อัตราเดียวกับอุตสาหกรรมบ้าง หรือกำหนดให้ดีกว่าปีที่ผ่านมาบ้าง แต่ผมยังไม่เคยเห็นองค์กรไหนที่กำหนดเป้าหมายอัตราการลาออกของพนักงานเท่า กับ 0 จริงๆ นะครับ
โปรแกรมบริหารงานบุคคล (Human Resource Management Information System หรือ HRMI) ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านเทคโนโลยีและการบริหารงานบุคคล รวมถึงรวบรวมระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน ที่สามารถช่วยงาน HR ได้ เช่น ระบบสมัครงานออนไลน์ระบบลาออนไลน์ระบบฝึกอบรมพนักงาน,ระบบสวัสดิการ, ระบบประเมินผล เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการบุคคลและสร้างความยืดหยุ่นในการทำงาน และตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในโลกของการทำงานที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยแต่ละบบมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์