
สำหรับพนักงานเอกชนที่ไม่ได้จ่ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือประกันต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีเงินสำหรับยังชีพหลักๆจาก 3 แหล่ง ได้แก่
1. เงินชดเชยตามอายุงาน

การเกษียณอายุของลูกจ้าง ถือว่าเป็นการ เลิกจ้าง อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าเกษียณเราควรจะได้เงินชดเชยจากนายจ้างตามอัตราที่กฎหมายกำหนด (มาตรา 118 วรรค 2) สำหรับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ได้มีบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการเกษียณอายุ และการจ่ายค่าชดเชยเรื่องการเกษียณอายุการทำงานเอาไว้ ดังนี้
- กรณีกำหนดการเกษียณอายุ“ก่อนครบ 60 ปีบริบูรณ์” ให้ถือว่าการเกษียณอายุไปเป็นตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือสัญญาจ้าง หรือข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
- กรณีกำหนดการเกษียณอายุ“เกินกว่า 60 ปีบริบูรณ์ หรือไม่ได้มีการกำหนด” ลูกจ้างมีสิทธิขอเกษียณอายุได้เมื่อมีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป และให้มีผลเมื่อครบ 30 วันหลังการแสดงเจตนา ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย
2. เงินบำนาญประกันสังคม

สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่จ่ายประกันสังคม คุณสามารถยื่นขอรับเงินบำนาญจากกองทุนประกันสังคมได้ตลอดชีวิต โดยมีเงื่อนไขคือ
- ต้องมีอายุ 55 ปีขึ้นไป
- ต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนไม่น้อยกว่า 180 เดือน (15 ปี)
ซึ่งเงินบำนาญที่ได้ต่อเดือนจะเท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย รวมกับ 1.5% ที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนปีที่เพิ่มขึ้นจาก 15 ปี
สูตรคำนวณ :
เงินบำนาญต่อเดือน = ค่าจ้างเฉลี่ย* x [ 20 + (1.5 x (จำนวนปีที่สมทบ – 15))] / 100
*ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ฐานคำนวณไม่เกิน 15,000 บาท
3. เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

เมื่ออายุ 60 ปี คุณสามารถไปลงทะเบียนเพื่อรับเบี้ยยังชีพได้ที่ สำนักงานเขต กทม., อบต. หรือเทศบาล โดยการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุในปัจจุบัน จะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นรายเดือนต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ซึ่งอัตราที่ได้จะเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดตามช่วงอายุ
ขอบคุณที่มา :: https://finstreet.co/private-retirement/